ภาคประชาชน-สื่อมวลชนชี้ พรบ.เหล้าฉบับใหม่ทำสังคมสับสน แนะเร่งออกกฎหมายลูก

ภาคประชาชน-สื่อมวลชนชี้ พรบ.เหล้าฉบับใหม่ทำสังคมสับสน แนะเร่งออกกฎหมายลูก เพื่อให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่ทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องที่มีผลกระทบในวงกว้าง ติงไม่ควรให้ภาคธุรกิจเข้าร่วม สกัดเอื้อผลประโยชน์นายทุน
เมื่อวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ ห้องบุษบงกช เอ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป ในหัวข้อ”ทิศทาง กม.ลำดับรอง…หลังประกาศใช้ พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ใหม่ “

นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ระบุ เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มุมหนึ่งอาจเป็นการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กับประเทศ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงการขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะ เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัยในสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ การออกกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ซึ่งบังคับใช้แล้วแต่สังคมยังสับสนว่าเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมนั้น มีผลบังคับใช้ทันทีหรือไม่ หรือมีประเด็นใดบ้างที่ต้องใช้เวลาเพื่อจัดทำเนื้อหาให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ ส่งผลให้มีการทำผิดกฎหมายและไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย เพราะคิดว่าทุกอย่างได้รับการปลดล็อกแล้ว
“เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมายและเกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อลดผลกระทบต่อทุกฝ่าย จึงต้องจัดประชุมเพื่อให้สื่อมวลชนได้รับฟังข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำกฎหมายโดยตรง เพื่อช่วยกันสื่อสารและถ่ายทอดข้อเท็จจริงสู่สาธารณะ และมองทิศทางในการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อปกป้องทุกคนในสังคมจากพิษภัยและผลกระทบของแอลกอฮอล์ในมิติต่างๆกัน“

นายธีระ วัชรปราณี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ระบุ กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีเจตนารมณ์จำกัดการขยายตัวของการดื่มและผลกระทบ โดยควบคุมการโฆษณา การลดแลกแจกแถม วันเวลาขาย สถานที่ดื่มและขาย อายุผู้ซื้อและอาการของผู้ดื่ม แต่สินค้าแอลกอฮอล์มีมูลค่าตลาดปีละกว่า 5 แสนล้าน มีผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายย่อยและวิสาหกิจชุมชน ค่านิยมดื่มเพื่อเข้าสังคม เสรีภาพในการดื่ม ต้องการรายได้จากการท่องเที่ยว ภาวะเศรษฐกิจซบเซาทำให้รัฐบาล พรรคการเมือง กลุ่มธุรกิจสุราเสนอให้ปรับนโยบายเพื่อเศรษฐกิจมากกว่าสุขภาพ จึงใช้เวลา 1ปีครึ่ง แก้กฎหมายจนประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอออล์ฉบับที่ 2 ปี 2568 โดยผ่อนคลายหลายจุดที่สำคัญคือให้มีผู้แทนธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นคณะกรรมการควบคุมแอลกอฮอล์ระดับชาติ กลายเป็นข้อห่วงใยด้านการถูกแทรกแซงทำให้ด้อยประสิทธิภาพการควบคุมในอนาคต
ทั้งนี้ การจะทำกฎหมายลำดับรองประเด็นสำคัญคือนิยามคำว่าจัดเลี้ยงตามประเพณี ควรขยายความให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะมีผลต่อการใช้สถานที่ราชการ โรงเรียน เป็นสถานที่จัดเลี้ยง ยืนยันว่าของเดิมดีอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องระยะห่างจากสถานศึกษาของร้านจำหน่ายแอลกอฮอล์ ควรให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดเป็นผู้ตัดสิน
ส่วนบทบาทของผู้แทนธุรกิจแอลกอฮอล์ในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะต้องมีกฎหมายลูกกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องที่มีส่วนได้เสียว่าจะมีสิทธิโหวตหรือไม่ การแก้ไขผ่อนคลายใบอนุญาตผลิตสุราให้ทำได้ง่าย การผลิตที่บ้านเพื่อดื่มกันเอง การนำเข้าแอลกอออล์จากต่างประเทศจากการลดภาษีไวน์ ที่น่าห่วงคือการเจรจาการค้า FTA กับยุโรปจะยิ่งเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์เข้ามาขายในประเทศไทย ทำให้คนไทยมีโอกาสพิการและตายเพิ่มขึ้น
“น่าจะมาถึงยุคที่ทุกภาคสังคมต้องตื่นตัวมาร่วมกันควบคุมใช้ทุกมาตราที่มีอยู่ โดยยึดข้อมูลและความปลอดภัยของสังคม โดยหวังว่าเหตุร้ายที่เคยเกิดย้อนหลังก่อนมีกฎหมายฉบับนี้จะไม่เกิดซ้ำอีก“

ด้านนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ระบุ สิ่งที่ต้องเร่งทำกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จคือการได้มาซึ่งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์รอบคอบในการประชุมพิจารณาออกประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอออล์ ดังนั้นควรรอให้มีการคัดเลือกผู้แทนองค์กรเอกชนและผู้แทนนิติบุคคลด้านผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ามาเป็นกรรมการ
”การที่คณะกรรมการชุดเดิมมีมติยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วง 14.00-17.00 น. มองว่าขาดความชอบธรรม แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ดำเนินการได้ แต่ความสมบูรณ์ของคณะกรรมการยังเป็นปัญหาจึงไม่ควรตัดสินใจในเรื่องใหญ่ ๆ และมีผลต่อประชาชนในวงกว้าง“
สำหรับเนื้อหาของกฎหมายใหม่ที่บังคับใช้ได้เลยโดยไม่ต้องรอกฎหมายลำดับรองมีหลายมาตรา เช่น การห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเพิ่มโทษปรับเป็น 1 แสนบาท จากเดิม 20,000 การห้ามใช้ตราเสมือนมาโฆษณาให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สื่อโฆษณาต่างๆต้องถูกสแกนและบังคบใช้กฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่รอกฎหมายลำดับรอง ภาครัฐกำหนดให้นำ พ.ร.บ.ฉบับเดิมคือ ปี 2551 มาบังคับใช้ไปพลางก่อน ภาครัฐจึงต้องดำเนินคดีในสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยไม่ปล่อยให้นายทุน ร้านเหล้า ผับบาร์ ฉวยโอกาสหาประโยชน์ เช่น การแอบขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยตู้อัตโนมัติในหลายพื้นที่ ทั้งที่ยังไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการใดๆรวมทั้งยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้ซื้อได้ จึงถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดการอย่างเด็ดขาด
”ในเร็ว ๆ นี้ เราจะเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุขว่า ควรมีการประเมินผลกระทบของการขยายเวลาขายแอลกอฮอล์ในช่วงทดลอง 180 วัน โดยอาจจะให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบการประเมิน“

ขณะที่นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ทนายความ และผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) ระบุ หลายมาตรการของพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จะต้องรอการออกกฏหมายในลำดับรอง ซึ่งบรรดากฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศที่จะออกมาต้องไม่ขัดแย้งกับระเบียบข้อบังคับเดิม และต้องออกระเบียบ หรือประกาศให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับแต่วันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ หรือภายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2569
“กรมควบคุมโรคได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดเตรียมข้อมูลในการยกร่างกฎหมายลำดับรอง ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2568 เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมแอลกอฮอล์พิจารณาออกประกาศ เช่น เรื่องการโฆษณาซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ หากปล่อยให้มีการโฆษณาได้ง่ายก็จะมีผล และจะมีนิยามของคนเมา ว่ามีอาการแค่ไหนจึงถือว่าเมา รวมทั้งการขายผ่านตู้อัตโนมัติ จึงอยากให้ประชาชนจับตาการออกกฎหมายในลำดับรองว่าจะมาในทิศทางใด และขอให้ประชาชนมีส่วนร่วม เมื่อมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นที่จะมีขึ้นเป็นระยะ“

ด้านตัวแทนสื่อมวลชนที่ร่วมประชุมได้แสดงความคิดเห็นว่า กลไกสำคัญตามกฎหมายใหม่ที่จะกำหนดทิศทางคือคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะมีตัวแทนจากธุรกิจแอลกอฮอล์และภาคธุรกิจร่วมเป็นกรรมการด้วย ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีการแทรกแซงมาตรการต่าง ๆ ที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของตัวเอง และควรจัดตั้งกลไกในการกำกับติดตาม ตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อไม่ให้ใช้อำนาจออกประกาศที่ไม่เหมาะสม โดยมีตัวแทนจากภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และสื่อมวลชนเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่
ส่วนกลไกคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดจะมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเข้ามาเป็นรองประธานนั้น จะทำอย่างไรที่นายกอบจ.ทุกจังหวัดซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับมอบหมายเป็นประธานการประชุมแทนผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีภารกิจมาก จะมีการประชุมตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องและปกป้องคนในจังหวัดจากพิษภัยและผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าคิดถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจและการท่องเที่ยว และหวังว่าตัวแทนเยาวชนที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกเข้าไปเป็นกรรมการจะเป็นปากเป็นเสียงที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น

