บันเทิง

“Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด” ความรักฮีลใจเรื่องแรกของ “ต้นเมเปิ้ล”

“ต้นเมเปิ้ล” สาวน้อยผู้หลงใหลในถนนแห่งอักษร กับเรื่องราวของ “Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด” นิยายรักหวานๆ เรื่องแรกของต้นเมเปิ้ล
ที่พูดถึงความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน รักที่จะเห็นคนที่เรารักมีความสุข รวมทั้งรักที่ได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ผ่านสองตัวละคร…พี่พรีม พิมพ์นารา เจ้าของหอพัก และน้องมินทร์ มินทร์ธารา นักศึกษาสาวที่มาเช่าหอพัก ความรักบังเกิดเมื่อสาวน้อยตกหลุมรักเจ้าของหอ ตามตื้อจนพี่พรีมใจละลายกลายเป็นเส้นสายที่เชื่อมระหว่างสองหัวใจ ถูกแรงดึงดูดผูกไว้ให้ทั้งคู่ไม่สามารถแยกจากกัน เริ่มเปิดตัวตอนแรกให้นักอ่านได้อ่านกันบน ReadAWrite เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 ในบทนำ…Prologue Bear Cub และได้ยอดคนอ่านทะลุเป้าเพียงแค่ 3 ชั่วโมงแรก

วันนี้ขอนำบทสัมภาษณ์พิเศษของ “ต้นเมเปิ้ล” มาให้นักอ่านได้รู้จักกันมากขึ้นนะคะ

แรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเรื่อง “Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด”

เมื่อเราได้อ่านนิยายหลายเรื่อง จนกระทั่งมีความรู้สึกว่า นักเขียนหลายคนเอาเรื่องราวความรักของคนคู่หนึ่งมาเล่า เหมือนการใช้ชีวิตทั่วไป เรามองว่าความรักดีๆ สามารถนำมาถ่ายทอดในหนังสือนิยายเล่มหนึ่งได้ และมีความคิดขึ้นมาว่า..อยากทำขึ้นมาบ้างจัง อยากทำให้คนเห็นมุมมองความรักในรูปแบบของเราบ้าง แล้วทุกวันนี้คนเราค่อนข้างจะดำเนินชีวิตยากลำบาก ความรักจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถฮีลใจและเป็นสิ่งที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำอะไรมากมาย

ทำไมเลือกเขียนนิยายแนวยูริ หรือนิยายสาย Girl’s Love หญิงรักหญิงเป็นนิยายเล่มแรก

นิยายยูริคือความรักของผู้หญิงกับผู้หญิง เหตุผลที่เลือกเขียนนิยายหญิงรักหญิงมาจากรสนิยมส่วนตัว ถ่ายทอดมาจากความรู้สึก ในโลกนี้ไม่ได้มีแค่ชายกับหญิง หรือชายกับชายที่สามารถแสดงให้โลกเห็นว่าสามารถรักกันได้ แต่ผู้หญิงกับผู้หญิงก็รักกันได้ ความรักไม่มีเพศ จะเป็นเพศไหนก็ได้ ขอแค่รักกันเท่านั้นเอง

ความรักแนวยูริ หรือหญิงรักหญิงในมุมมองของต้นเมเปิ้ลเป็นอย่างใรกับสังคมปัจจุบันคะ

ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าผู้หญิงแท้ๆ เลยที่คู่กับผู้หญิงด้วยกัน ไม่ได้แสดงมาดออกมาว่าคนหนึ่งดูแมนกว่า คนหนึ่งดูเป็นสาวกว่า นิยายส่วนใหญ่ หรือบางเล่มจะเขียนประมาณว่า เราไม่รู้ตัวว่าเราชอบผู้หญิง เราชอบผู้หญิงจริงเหรอ เราชอบผู้ชายนะ คือไม่ยอมรับตัวเอง แต่นิยายในแบบของต้นเมเปิ้ล แค่เรารู้สึกดีกับคนคนนั้น ไม่ต้องไปมองเลยว่าเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย เราก็โอเคแล้ว ขอแค่รักกันก็พอ

แล้วในเรื่องมินทร์เป็นคนขี้อวด ง่ายๆ คือมินทร์แฮชแท็ก #มินทร์ไร่ขิง อยู่ที่ไหนอวดพี่พรีมที่นั่น (เหตุผลที่น้องชอบอวดพี่พรีม เป็นเพราะว่า พี่พรีมคือสิ่งที่สวยงามในชีวิตของเขา และเขาเป็นคนที่ชื่นชมสิ่งสวยงามทุกอย่างแม้กระทั่งคู่รักอื่นๆ ที่เดินไปมาโดยที่มินทร์ไม่รู้จักก็ตาม) สิ่งที่มินทร์ต้องการคือความรัก แล้วความรักที่มินทร์ได้รับมาจากพี่พรีมคือสิ่งที่มินทร์โหยหามาตลอดทั้งชีวิต มินทร์เลยไม่ได้แคร์ว่าคนจะมองมินทร์ยังไง ขอแค่มีพี่พรีมคนนี้ที่มินทร์รักแค่นั้น

แล้วความรักในมุมมองของต้นเมเปิ้ลเป็นอย่างไรบ้างคะ

ความรักในมุมมองของต้นเมเปิ้ลก็คือ ถ้ารักกันจะซัพพอร์ตกันได้ทุกอย่าง ขอยกตัวอย่างจากเรื่องของพี่พรีมขึ้นมาพูดถึง ความรักของพี่พรีมคือ อะไรก็ได้ที่ทำให้มินทร์เติบโตมาเป็นคนดี มีคุณภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ส่งเสริมมินทร์ ไม่เป็นตัวถ่วงของกันและกัน ไม่ได้หวังผลตอบแทน ในเรื่องของการเรียน การงาน พี่พรีมพร้อมจะสนับสนุน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งมินทร์งอแงไม่ยอมไปเรียน หรือตอนโตแล้วไม่ยอมไปทำงาน พี่พรีมก็ไม่ยอมโดยเด็ดขาด นี่คือความรักจริงๆ รักที่จะเห็นเขาเติบโต รักที่จะเห็นเขาไปในทางที่ดี ไม่ใช่ว่าตื่นมาไม่อยากให้เธอไปทำงานเลย หยุดอยู่กับเราได้ไหม ความรักจะต้องส่งเสริมกันไปในทางที่ดี และรักในนิยายเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าโลกนี้มีแค่เราสองคน ในเนื้อเรื่องยังมีเพื่อน ทั้งเพชรและพอร์ช ที่สุดท้ายแล้วต้องขอบคุณทุกคนที่อยู่ในวัฎจักรชีวิตของพวกเขาทั้งสอง เหมือนโลกที่ขาดอากาศไม่ได้ ทุกคนมีส่วนสำคัญในชีวิตของกันและกัน เรื่องนี้ต้นเมเปิ้ลค่อนข้างจะใส่ใจในรายละเอียด และจะใส่เข้ามาในบทสเปเชียล เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโชคชะตา ดังนั้นเพื่อนๆ ทั้งสองที่อยู่รอบตัวพรีมและมินทร์จะเหมือนเป็นดั่งท้องฟ้ากับทะเล แล้วพวกเขาลอยอยู่ในอากาศแบบขนานกัน

เล่าเรื่องย่อของ “Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด” ให้ฟังหน่อยค่ะ

เรื่องเริ่มจากพี่พรีม เป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีธุรกิจเตรียมพร้อมไว้ให้อยู่แล้ว คือเลือกสร้างหอพักที่เชียงรายให้กับนักศึกษา และเมื่อเรียนจบพี่พรีมเข้ามาดูแลกิจการเป็นเจ้าของหอพัก หอพักมีเรื่องราวให้แก้ไขปัญหามากมาย ทั้งเรื่องการแอบเอาสัตว์เข้ามาเลี้ยง ฯลฯ และวันหนึ่งมีน้องนักศึกษาคนหนึ่งโทร.มาโวยวายให้แก้ไขปัญหาเรื่องความเร็วของอินเตอร์เน็ต เพราะกำลังเล่นเกมและพนันกับเพื่อนไว้ว่า หากแพ้ต้องเลี้ยงชาบูเพื่อนทั้งหมด 5 คน พอเปิดประตูห้องพักทำให้ได้พบกับน้องมินทร์ซึ่งพรีมคิดว่าน่ารักเหมือนลูกหมี ตอนแรกมินทร์ขี้โวยวาย พอโวยวายไปโวยวายมา และกอดอกมองพี่พรีมและคิดว่า “งานดีจัง” มินทร์ตกหลุมรักและคอยตามวอแวพี่พรีมเรื่อยๆ เข้าไปหาแบบตรงๆ จนกระทั่งพี่พรีมไม่สามารถเอาน้องมินทร์ออกจากความคิดได้ กลายเป็นห่วงใย จนกระทั่งคิดถึงกันและกัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องของอารมณ์ที่หลากหลายมาก และมีความพิเศษอย่างหนึ่งคือ เมื่อเขาทั้งสองคนห่างกันทั้งคู่จะมีอาการปวดหน้าอกเหมือนกัน ต้นเมเปิ้ลใส่ความเป็น heart broken syndrome แต่จะมีเหตุผลอยู่ว่าทำไมพวกเขาจึงมีอาการอย่างนี้ ยามใดก็ตามที่พวกเขาห่างกัน แยกจากกัน เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหน้าอก แล้วพอได้มารักกันก็จะมีสิ่งที่ทำให้แยกจากกัน แล้วก็จะตัดไปที่เล่ม 2 พี่พรีมตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหน้าอก พรีมจดตัวเลข 730 ลงบนปฏิทิน เท่ากับ 365 วัน คูณ 2 เท่ากับสองปีแล้วที่มีอาการแบบนี้ ตลอดเวลาที่เด็กคนนี้หายไป แล้วพรีมต้องทนทุกข์ทรมานจากความรู้สึกนี้ สามารถตามหาคำตอบได้ในเล่ม 2 นะคะ

ชอบโมเมนต์ไหนในเรื่องนี้มากที่สุดคะ

ชอบโมเมนต์ไหนที่สุด อันนี้บอกยากมากเลย เพราะว่าชอบทั้งหมดเลย เล่ม 1 จะเป็นความละมุน อ่อนหวาน น่ารัก พี่พรีมมักจะเข้าไปเกาพุงเวลาที่มินทร์งอนไม่ยอมบอกอะไร น้องก็จะยอมบอก ส่วนเล่ม 2 จะเป็นความเข้มข้น มินทร์จะโตขึ้น และเป็นสายรุก ขี้โวยวาย เอาแต่ใจ พี่พรีมอ่อนโยนมากขึ้น จะกลัวการเสียมินทร์ไปอีกครั้งหนึ่ง กลัวการทำให้มินทร์เสียใจ กลัวการที่มินทร์จะเป็นอันตราย จะเอาความรู้สึกไปใส่ทุกอย่าง เรื่องนี้มินทร์ดูเหมือนคนที่ถูกดูแลทุกอย่าง แต่ยามใดที่พี่พรีมอ่อนไหว หรือล้ม คนที่ฉุดพี่พรีมขึ้นมาก็คือมินทร์ เป็นเสาหลักให้กันและกัน

นามปากกา “ต้นเมเปิ้ล” มาจากไหน

มาจากชื่อของเมเปิ้ลเองค่ะ และชื่อของเมเปิ้ลในภาษาญี่ปุ่น คือ โมมิจิ แปลว่าใบเมเปิ้ล แล้วพอเป็นคำว่า “ใบ” มันดูหลากหลาย อยากให้ดูเป็นหนึ่งเดียว เลยใส่คำว่า “ต้น” เข้าไป เพราะใบไม้สักวันหนึ่งอาจจะเหี่ยวเฉาและร่วงโรยตามฤดูกาล แต่การเป็นต้นเมเปิ้ลนั้นสักวันใบจะผลิใบใหม่ออกมา แต่ต้นยังคนยืนรากไว้อยู่ ก็คงเหมือนชีวิตคนที่ทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ ประจำ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาค่ะ

ช่วยเล่าเรื่องของการเขียนนิยายเล่มแรกให้ฟังหน่อยค่ะ

เรื่องนี้มีความมหัศจรรย์อยู่ค่ะ เพราะเมเปิ้ลเคยเป็นคนหนึ่งที่เกลียดการอ่านที่สุด ภาษาไทยเป็นวิชาเดียวที่เมเปิ้ลได้เกรด D สมัยเรียน เมเปิ้ลโตขึ้นมากับการเล่นเกม ในขณะที่พี่สาวชอบอ่านหนังสือ ซึ่งเราก็จะประมาณว่าอ่านอะไรไม่รู้ไร้สาระ พอโตมามีจุดจุดหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากหยิบนิยายเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน หลังจากนั้น 3 เดือน เมเปิ้ลหมดไปกับค่าหนังสือนิยายหมื่นกว่าบาท

แล้ววันหนึ่งเมเปิ้ลพูดกับคนคนหนึ่งว่าถ้าเราจะเขียนนิยาย เราอยากทำอย่างนี้ๆ เขาก็บอกว่า “ก็ทำสิ” ก็เลยลองสมมุติเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่ง เป็นชื่อตัวเราเองเลย เป็นฉบับร่างประมาณ 1000 คำ ฉากเดียว แล้วเอาไปให้เขาอ่าน แล้วเขาก็บอกว่า “เมเปิ้ลเป็นนักเขียนได้นะ” หลังจากคำพูดประโยคนี้ ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดไม่ตก จะทำดีไหม วนเวียนอยู่ในหัว แล้วเมเปิ้ลเป็นคนที่ถ้าคิดอยู่แบบนี้แล้วไม่ทำก็ยังคิดวนไม่หาย เหมือนเราเดินผ่านเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง แล้วอยากได้ แต่ไม่ซื้อ แล้วก็เดินผ่านอยู่นั่นละ ลองถามเพื่อน เพื่อนก็บอกทำไปสิ ทำไมตั้งความหวังไว้สูงเหรอ? เมเปิ้ลไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงเลยค่ะ ขอแค่ถ้าลงนิยายให้คนอ่านไปแล้ว ถึงสิ้นเดือนมีคนอ่านสักหน่อย คนที่กล้าจะเปิดใจให้กับนิยายของเมเปิ้ลจริงๆ ก็พอแล้ว

ยอดคนอ่านทะลุเป้าที่ตั้งไว้ตั้งแต่วันแรก

เมเปิ้ลเริ่มแต่งนิยายเรื่อง “Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด” ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2566 และเสร็จวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ใช้เวลาเพียงแค่เดือนนิดๆ แต่งเสร็จทั้งหมดรวม 48 ตอน (เล่ม 1 มี 22 ตอน เล่ม 2 มี 26 ตอน) เมเปิ้ลหวังไว้ว่า ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 ที่ลงวันแรกจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 ขอแค่มีคนเข้ามาอ่าน 500 คนก็พอแล้ว แต่วันแรกที่เมเปิ้ลลงนิยายเรื่อง “Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด” บน Application: ReadAWrite เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ยอดคนอ่านก็ 500 คนแล้ว ทั้งที่ “ต้นเมเปิ้ล” เป็นนักเขียนหน้าใหม่ยังไม่มีใครรู้จัก ไม่มีเพื่อนในวงการนักเขียน และหลังจากนั้นประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ก็ติด Top Chart ลำดับที่ 3 และตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 จนถึงวันนี้ ติด Top Chart ขายดีลำดับ 1 ใน 10 ของ ReadAWrite ซึ่งจากการที่มียอดคนอ่านทะลุเป้าที่ตั้งไว้ตั้งแต่วันแรก เมเปิ้ลรู้สึกภูมิใจมาก ขอย้อนเล่าขณะที่เมเปิ้ลกำลังแต่งนิยายอยู่ มีที่ปรึกษามานั่งอ่านตอนที่แต่งเสร็จแล้วบอกว่า “มันดีมากเลยนะ มันดีมากเลย” เมเปิ้ลเองก็ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก เราตั้งไว้แล้วว่าจะเริ่มแบบนี้ กลางเรื่องเป็นแบบนี้ และจบแบบนี้

อยากให้พูดถึงเพลง You’re My Gravity ที่ปล่อยออกมาหน่อยค่ะ

เรื่องนี้เป็นแรงดึงดูดทุกอย่างเลย ดึงดูดให้เราไปเจอ ดึงดูดให้เราคิด ดึงดูดให้เราทำ มินทร์จะเป็นคนที่บรรเลงเปียโนเฉพาะตอนที่อ่อนไหว โศกเศร้า เครียด โกรธ กังวลเท่านั้น จะบรรจงนิ้วลงบนเปียโน แต่ยามมีความสุขจะไม่จับเลย มีบางอย่างในตัวพี่พรีมที่เปลี่ยนไป ทำให้มินทร์หาคำตอบไม่ได้ มินทร์เลยไม่รู้จะแสดงความรักอย่างไร เพราะตลอดมาพี่พรีมเป็นคนเล่าเรื่องให้มินทร์ฟัง ขณะที่เราอ่าน เราจะรู้สึกว่าเราเป็นพรีมจริงๆ แต่พอเป็นพาร์ทที่มินทร์เล่าเรื่อง คิดว่าจะทำยังไงให้นักอ่านรับรู้จริงๆ ว่านี่คือมินทร์นะ

เพลง You’re My Gravity เธอคือแรงดึงดูดของฉัน เป็นเพลงที่มินทร์เป็นคนร้องขึ้นมาในเนื้อเรื่องค่ะ โดยผู้แต่งที่เราทำงานร่วมกันคือเงาเสียงให้กับน้องเลย แต่มาในรูปแบบที่เป็นเพลงเศร้ายังไงก็ได้ให้เป็นเพลงรัก

อย่าเรียกว่ามินทร์ร้องเพลงเลยค่ะ เรียกว่ามินทร์บ่นความรู้สึกตัวเองออกมาให้พี่พรีมฟังดีกว่า

ในทุกครั้งที่หลับตา ก็ยังเห็นเป็นภาพเธอ ไม่อาจลบเลือนอยู่เช่นเดิมเสมอ

หากโลกของฉันเป็นเพียงภาพขาวดำ เธอคือสีสันอันสวยงาม

ที่แต่งแต้มในความทรงจำ แม้นานเท่าไร

ก็ดูเหมือนไม่มีทางลืมเลือนมันไป

ทุกๆ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน รู้ไหมสำหรับฉันมีค่าแค่ไหน

หากเป็นแค่ฝันไป ฉันคงไม่อยากตื่นลืมตา

แค่มีเธอด้วยกันตรงนี้ก็ดีแค่ไหน

แม้เคยเจ็บปวดสักเท่าไรแต่มันก็คุ้ม

โชคดีที่ได้เจอเธอ โชคดีที่ได้โอบกอด

และจะไม่มีทางแลกมันกับอะไรทั้งนั้น

แม้ต้องจากกันไปก็ต้องได้เจอกันอีกครั้ง

แม้ต้องห่างกันไกลแค่ไหน แต่ว่าก็ไม่อาจหนีพ้นแรงดึงดูด

ที่ชักพาเราให้กลับมาหากันในสักวัน

You’re My Gravity…

พูดถึงเรื่อง Bear Cub

Bear Cub แปลตรงตัวก็คือลูกหมี พี่พรีมนิยามว่ามินทร์คือลูกหมี ลูกหมีหิวน้ำผึ้ง เวลาที่มินทร์โมโห พี่พรีมจะบอกว่าน้องมินทร์เป็นลูกหมีหิวน้ำผึ้งอีกละ อารมณ์ประมาณนี้ ซึ่งมินทร์ก็จะโวยวาย เป็นเรื่องราวที่พี่พรีมเล่าถึงความรักของตัวเองกับน้องหมี เวลาตอนอ่านจะรู้สึกว่าเราเป็นพี่พรีม และจะมีพาร์ทที่เฉลยว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้

อยากฝากอะไรถึงนักอ่านบ้างคะ

ต้นเมเปิ้ลอยากฝากให้ทุกคนคอยติดตามผลงานเรื่อง Bear Cub ถ้ารู้สึกอยากรับรู้ถึงความรักดีๆ ที่ไม่เกินจริงในโลกใบนี้ที่คนคนหนึ่งสามารถให้คนคนหนึ่งได้ ไม่ต้องเป็นเงินทอง เป็นแค่ความรู้สึกจากใจ ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง การที่เรารักใคร เราอยากให้คนคนนั้นไปในทางที่ดี และทำให้คนคนนั้นรักตัวเองด้วย ไม่ใช่รักอีกฝั่งมากกว่า ไปในทางที่คู่ขนานกัน ทำให้ใช้ชีวิตอย่างสมดุล คอยซัพพอร์ทซึ่งกันและกัน เชื่อใจซึ่งกันและกัน อยากให้คนอ่านได้รับพลังบวกจากการอ่านนิยายเรื่องนี้ และฝากติดตามผลงานเรื่องต่อไปของต้นเมเปิ้ล ซึ่งจะแหวกแนวไปจากความรักของพี่พรีมและน้องมินทร์ จะเป็นความรักในแบบพันธะ ไม่ใช่ความผูกพัน

สำหรับนักอ่านที่ติดตามอ่าน “Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด” และเก็บอีบุ๊กจาก Application: ReadAWrite / Meb และธัญวลัยไปแล้ว หากอยากเก็บในรูปเล่มที่ตีพิมพ์เป็นหนังสือครั้งแรก อุดหนุนกันได้ทั้งเล่ม 1 และเล่ม 2 ที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 (28 มีนาคม – 8 เมษายน 2667) ในบูท Lilly house ค่ะ

หนังสือหลายเล่มเป็นอาหารบำรุงสมอง มาอ่าน “Bear Cub เมื่อเธอคือแรงดึงดูด” เป็นยาบำรุงหัวใจไปด้วยกันนะคะ