Wednesday, November 12, 2025
Latest:
ประชาสัมพันธ์

ผู้ประกอบการวอนรัฐยกเลิก “ห้ามดื่มนอกเวลาขาย”

8 สมาคมผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวและบริการยื่นหนังสือถึงนายกอนุทิน วอนรัฐยกเลิก “ห้ามดื่มนอกเวลาขาย” ด่วน หวั่นกระทบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย

ทำเนียบรัฐบาล – วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานบริการ นำโดย นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร, นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทล ประเทศไทย และนายณัฐชัย อึ๊งศรีวงศ์ นายกสมาคมสุราท้องถิ่นไทย พร้อมด้วยตัวแทนจากสมาคมค้าปลีกไทย, สมาคมร้านอาหาร, สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา, สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ และสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกันยื่นหนังสือถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความชัดเจนและขอบเขตการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 รวมทั้งขอให้ยกเลิกการห้ามดื่มนอกเวลาขาย โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ

พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ของประเทศไทย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญที่มีผลกับผู้บริโภคหรือเหล่านักดื่มโดยตรงก็คือการกำหนดความผิดเกี่ยวกับการดื่มในเวลาห้ามขาย ซึ่งมาตรา 32 ระบุว่า “ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อประโยชน์ในทางการค้า ในเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์…” พร้อมกันนี้ยังมีบทลงโทษระบุไว้ในมาตรา 37.1 ว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 32 มีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท”

นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวว่า เรื่องการห้ามดื่มนอกเวลาขายนั้นสร้างความกังวลในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทยและภาคประชาชนอย่างยิ่ง โดยสิ่งที่สร้างความตื่นตระหนกที่สุดก็คือการขยายขอบเขตความรับผิดชอบไปยังผู้บริโภคโดยตรง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีการตีความและประกาศเตือนจากหน่วยงานรัฐว่า ผู้ที่นั่งแช่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้านอาหารหลังจากเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ขายได้ (11.00 – 14.00 น. และ 17.00 – 24.00 น.) นั้นอาจมีความผิดและต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท

“ผู้ประกอบการภาคบริการต่างๆ ยังคงสับสนและกังวลถึงความชัดเจนของการบังคับใช้และขอบเขตของกฎหมายฉบับนี้ เมื่อถึงเวลาห้ามขายแอลกอฮอล์แต่ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวยังนั่งดื่มเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ต่อ ทั้งร้านและตัวลูกค้าเองจะถูกปรับใช่หรือไม่ ความสับสนและความไม่รู้นี้จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว หากรัฐบาลไม่ลงมือทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว” นายสง่ากล่าว

ด้าน นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทล ประเทศไทย กล่าวว่า ความสับสนในการบังคับใช้กฎหมายจำหน่ายแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปที่นิยมดื่มตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ ร้านอาหารและโรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาตสถานบริการอาจได้รับผลกระทบ ขณะที่บางประเทศเริ่มขยับตัวแล้ว อาทิ สถานทูตออสเตรเลียออกมาเตือนนักท่องเที่ยวแล้ว และอังกฤษกับสหรัฐก็กำลังจับตา ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกไปประเทศอื่น ส่งผลต่อภาคท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา

“มากไปกว่านั้น สื่อต่างประเทศ อาทิ สำนักข่าว 10 News ซึ่งเป็นสำนักข่าวใหญ่จากประเทศออสเตรเลีย ได้เริ่มแจ้งเตือนประชาชนในประเทศตนเองที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยและรับทราบกฎห้ามดื่มในเวลาห้ามขายดังกล่าว เนื่องจากอาจโดนปรับ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังจะเข้ามาไทยเกิดความสับสนและกังวล กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลที่ต่างประเทศ” นายสรเทพกล่าว

ด้าน นายณัฐชัย อึ๊งศรีวงศ์ นายกสมาคมสุราท้องถิ่นไทย กล่าวว่า เพียงไม่กี่วันหลังจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลบังคับใช้ ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ส่งเสียงเรียกร้องในหลากหลายช่องทางให้รัฐบาลนายกอนุทิน รีบดำเนินการแก้ไขเร่งด่วนเพื่อจัดการกับความสับสนดังกล่าว เนื่องจากกำลังเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศหลังจากเศรษฐกิจย่ำแย่มาหลายปีอย่างต่อเนื่อง

“ในวันนี้ เราจึงเดินทางมาขอความชัดเจนและขอบเขตการบังคับใช้พระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งขอให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการห้ามดื่มนอกเวลาด้วยครับ เราอยากเห็นสังคมไทยหยุดแปะป้ายตีตราว่าแอลกอฮอล์เป็นผีหรือปีศาจร้าย เราตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนบทบาทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหม่ ให้สามารถเป็นกลไกส่งเสริมเศรษฐกิจได้ โดยมีการควบคุมผลกระทบทางสังคมไปพร้อมกัน…” นายณัฐชัยกล่าวทิ้งท้าย